เมนู

นี้จึงไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส อย่างนี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ แต่
เพราะอวิชชานั่นแลดับด้วยวิราคะไม่มีส่วนเหลือ จึงดับสังขารได้ เพราะสังขาร
ดับ จึงดับวิญญาณได้ เพราะวิญญาณดับ จึงดับนามรูปได้ เพราะนามรูปดับ จึง
ดับสฬายตนะได้ เพราะสฬายตนะดับ จึงดับผัสสะได้ เพราะผัสสะดับ จึงดับ
เวทนาได้ เพราะเวทนาดับ จึงดับตัณหาได้ เพราะตัณหาดับ จึงดับอุปาทานได้
เพราะอุปาทานดับ จึงดับภพได้ เพราะภพดับ จึงดับชาติได้ เพราะชาคิดับจึง
ดับชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสได้ ความดับ
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีมาอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึง
ควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในปฎิจจสมุปบาท.
[245] อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ด้วยเหตุเท่าไร จึงควรเรียกว่า
ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะ ?
ภ. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ฐานะและอฐานะอย่างละ 2



(1) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือบุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ พึงเข้าใจสังขารอะไร ๆ โดยความเป็นของเพียง นั่นไม่ใช่ฐานะที่มี

ได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชน พึงเข้าใจสังขารไร ๆ
โดยความเป็นของเที่ยง นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(2) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ พึงเข้าใจสังขารอะไร ๆ โดยความเป็นสุข นั่นไม่ใช่ฐานะที่มี
ได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงเข้าใจสังขารอะไร ๆ
โดยความเป็นสุข นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(3) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ พึงเข้าใจธรรมอะไร ๆ โดยความเป็นอัตตา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมอะไร ๆ โดย
ความเป็นอัตตา นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(4) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ พึงปลงชีวิตมารดา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็น
ฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตมารดาได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(5) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ พึงปลงชีวิตบิดา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่
เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตบิดาได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
(6) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ พึงปลงชีวิตพระอรหันต์ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า
ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตพระอรหันต์ได้ นั่นเป็นฐานะ
ที่มีได้.
(7) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ มีจิตคิดประทุษร้าย พึงทำโลหิตแห่งตถาคตให้ห้อขึ้น นั่นไม่ใช่

ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนมีจิตคิดประทุษ-
ร้าย พึงทำโลหิตแห่งตถาคตให้ห้อขึ้นได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(8) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ พึงทำลายสงฆ์ นั่น ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะ
มีได้แล คือ ปุถุชนพึงทำลายสงฆ์ได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(9) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิจะพึงมุ่งหมายศาสดาอื่น นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่
เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนจะพึงมุ่งหมายศาสดาอื่นได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(10) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่
หลังกัน นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียว นั่น
เป็นฐานะที่มีได้.
(11) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระเจ้า-
จักรพรรดิ 2 พระองค์ พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่หลังกัน
นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระเจ้าจักรพรรดิ
พระองค์เดียว พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียว นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(12) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงเป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็น
ฐานะมีได้แล คือ บุรุษพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นฐานะที่
มีได้.

(13) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล
คือ บุรุษพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(14) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงสำเร็จ
เป็นท้าวสักกะ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ
บุรุษพึงสำเร็จเป็นท้าวสักกะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(15) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงสำเร็จ
เป็นมาร นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุรุษ
พึงสำเร็จเป็นมาร นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(16) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงสำเร็จ
เป็นพรหม นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ
บุรุษพึงสำเร็จเป็นพรหม นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(17) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง
กายทุจริต พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่
มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งกายทุจริต พึงเกิด
เป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(18) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง
วจีทุจริต พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งวจีทุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่
น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(19) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง
มโนทุจริต พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้

และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งมโนทุจริต พึงเกิดเป็นที่
ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(20) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่งกาย
สุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะ
ที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งกายสุจริต พึง
เกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(21) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง
วจีสุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่
ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งวจีสุจริต พึง
เกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่น เป็นฐานะที่มีได้
(22) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง
มโนสุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่
ฐานะที่มีได้. และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะที่มีได้แล คือ วิบากแห่งมโนสุจริต
พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
(23) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยกายทุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกายทุจริต
นั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้
แล คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกายทุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ
วินิบาต นรก เพราะกายทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(24) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยวจีทุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะวจีทุจริตนั้น
เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล

คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยวจีทุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ
วินิบาต นรก เพราะวจีทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(25) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม
ด้วยมโนทุจริต เมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะมโนทุจริตนั้น
เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล
คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมโนทุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ
วินิบาต นรก เพราะมโนทุจริตนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
(26) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยกายสุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะกายสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า
ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกายสุจริต เมื่อตายไป
พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกายสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็น
ฐานะที่มีได้.
(27) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยวจีสุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะวจีสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อ
ที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยวจีสุจริต เมื่อตายไป พึงเข้า
ถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะวจีสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่
มีได้.
(28) ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยมโนสุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะมุโนสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า
ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมโนสุจริต เมื่อตายไป

พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะมโนสุจริตนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็น
ฐานะที่มีได้.
ดูก่อนอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาด
ในฐานะและอฐานะ.
[246] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่า
เป็นไปได้เลย ธรรมบรรยายนี้ชื่อไร พระพุทธเจ้าข้า ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำธรรม
บรรยายนี้ไว้ว่า ชื่อพหุธาตุกะ (ชุมนุมธาตุมากอย่าง) บ้าง ว่า ชื่อจตุปริวัฏฏ์
(แสดงอาการเวียน 4 รอบ) บ้างว่า ชื่อธรรมาทาสะ (แว่นส่องธรรม) บ้าง
ว่า ชื่ออมตทุนทุภี (กลองบันลืออมฤตธรรม) บ้าง ว่า ชื่ออนุตตรสังคาม-
วิชัย
(ความชนะสงความอย่างไม่มีความชนะอื่นยิ่งกว่า) บ้าง
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสุภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนที่ชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ พหุธาตุกสูตรที่ 5

อรรถกถาพหุธาตุกสูตร



พหุธาตุกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
ในพระสูตรนั้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ภัย อุปัทวะ อุปมรรค



ในบทว่า ภยานิ เป็นต้น มีอธิบายว่า ความสะดุ้งแห่งจิต ชื่อว่า
ภัย. อาการแห่งจิตที่ไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ชื่อว่า อุปัทวะ อาการที่ติดขัด
คืออาการที่ขัดข้องในอารมณ์นั้น ๆ ชื่อว่า อุปสรรค.
พึงทราบความต่างของอาการมีความกลัว (ภัย) เป็นต้น เหล่านั้น
อย่างนี้:- พวกโจรที่อาศัยอยู่ในที่อันไม่สม่ำเสมอมีภูเขาเป็นต้น ส่งข่าวแก่
ชาวชนบทว่า ในวันโน้น พวกเราจะเข้าปล้นบ้านของพวกท่าน. จำเดิมแต่
ได้ฟังพฤติการณ์นั้นแล้ว พวกชาวชนบทย่อมถึงความกลัว ความสะดุ้ง มีชื่อ
ว่า ความสะดุ้งแห่งจิต.
พวกชาวชนบทพากันคิดว่า ที่นี้พวกโจรนั้นโกรธจักนำเอาแม้ความ
พินาศมาสู่พวกเรา จึงถือเอาของสำคัญๆ เข้าป่าไปพร้อมกับสัตว์ 2 เท้า และ
สัตว์ 4 เท้า นอนบนพื้นดินในที่นั้น ๆ ถูกเหลือบยุงเป็นต้นกัด ก็เข้าไป
ระหว่างพุ่มไม้ เหยียบย่ำตอและหนาม ภาวะที่ชาวชนบทเหล่านั้นเที่ยวซัด
ส่ายไปอย่างนี้ ชื่อว่า อาการที่จิตไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
แต่นั้น เมื่อพวกโจรไม่มาตามวันที่พูด ก็พากันคิดว่า ข่าวนั้นคงจะ
เป็นข่าวลอย ๆ พวกเรา (ควร) จักเข้าบ้าน พร้อมทั้งสิ่งของ ก็พากันเข้า
ไปยังบ้าน. ที่นั้น พวกโจรรู้ว่าชาวบ้านกลับเข้าบ้าน จึงล้อมบ้านไว้ จุดไฟ